อยากเห็นความเท่าเทียม และการปฎิบัตกับสื่อฯ อย่างเรา แบบเท่าเทียม

อยากเห็นความเท่าเทียม และการปฎิบัตกับสื่อฯ อย่างเรา แบบเท่าเทียม

* หรือ อีกนัยหนึ่ง คือ ไม่อยากให้เลือกปฏิบัติ หรือ เลือกที่รักมักที่ชัง “อกเขาอกเรา” ทุกคนย่อมมีคุณค่า และมีศักดิ์ศรีเหมือนๆ กัน *

Mr.How290564

ผมเกลียดที่สุดเลย คือ “การมองคนไม่เท่ากัน” แม้แต่ผมเอง จะทำสื่อมานาน อยู่ในวงการสื่อมานาน และได้เห็นสิ่งต่างๆ มามากมายเช่นกัน และพยายามทำใจ และน้อมรับกับสิ่งที่เป็นอยู่ และพยายามพัฒนาตัวเอง และความสามารถตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสักวันหนึ่ง เราจะได้มีโอกาส และได้รับโอกาสเหมือนกับรุ่นพี่ๆ สื่อมวลชนอาวุโสหลายๆ ท่านบ้าง

“เราได้เห็นความไม่เสมอภาค และการให้ความสำคัญที่แตกต่างกันอย่างมาก ระหว่างสื่อเล็ก และสื่อใหญ่ และเราได้เห็นถึงความไม่เป็นธรรม และสิ่งที่เราได้รับในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา”

จึงเป็นที่มาให้ตัวเอง เมื่อได้เข้าสู่วงการพีอาร์ “เราจึงให้ความสำคัญกับพี่ๆ สื่อมวลชนทุกๆ ท่าน อย่างเท่าเทียมกัน (เท่าที่เราพอจะทำได้) เพราะเราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จัก และที่สำคัญ เป็นคนสนิทและคุ้นเคยกัน”

และเมื่อเราเองได้พยายามนำจุดบอด หรือจุดบกพร่องที่เราเองมักจะได้รับแบบไม่เท่าเทียมกัน จึงนำมาถ่ายทอดบ้าง สอนบ้าง และแนะนำให้รุ่นน้องที่เรารู้จัก และเคยพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันบ้าง ได้มองเห็นถึงจุดบอดเหล่านี้ และมาช่วยกันทำจุดบอดเหล่านี้ให้กลายเป็นจุดแข็งในวันใดวันหนึ่ง

“ผมเองก็บอบซ้ำจากการถูกเลือกปฏิบัติมาเป็นเวลานาน” เราได้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันในวงการที่เราต่างได้รับที่แตกต่างกัน และเราก็น้อมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ และพยายามพัฒนาขีดความสามารถของตนเองให้เทียบ หรือเท่า หรือเพิ่มในวันใดวันหนึ่ง พร้อมกับตั้งความหวังว่า “เราอาจจะมีโอกาสได้ขยับขึ้นมายืนแถวหน้าของวงการสื่อสารมวลชนในบ้านเราท่านหนึ่งก็ได้เช่นกันในอนาคต”

Mr.How310366 2

ระยะเวลาแม้ว่ามันจะนาน แต่ก็ต้องพยายามทำต่อไป :

ระยะเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า กว่า 14 ปี เกือบ 15 ปีที่ผ่านมา เรายังทำไม่สำเร็จ และทำได้ไม่ดีพอ เพราะถ้าเราทำได้ดีกว่านี้ เราคงไม่ต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ความไม่เท่าเทียม และวิกฤตด้านโฆษณาที่ปราศจากแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ที่เรารอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ และไม่มีวี่แวว หรือวันที่จะได้รับแสงสว่างในช่วงเวลาอันใกล้นี้เลยจริงๆ

ความผิดหวัง และความเจ็บปวดในฐานะมนุษย์ขี้เหม็นคนหนึ่ง ย่อมมีความรู้สึกเหมือนกัน เพราะเราเจ็บปวด เรากราบอ้อนวอน เราวิงวอน เราเอาความเหนื่อยของเราเข้าแลกกับเม็ดเงินค่าโฆษณา เราทุ่มพละกำลังให้กับลูกค้าอย่างเต็มสตรีม เราทำเพื่อท่านมากมาย เมื่อท่านร้องขออะไรมา ถ้าเราทำได้ เรารีบทำให้ท่านในทันที

สุดท้าย ท่านก็ทิ้งเรา หรืออาจจะมองเราเป็นทางเลือกที่แทบไม่เห็นค่าของเราเลย เราจึงต้องเข้าใจในสัจธรรม และแม้ว่าเราจะมีบ่น หรือต่อว่าบ้าง แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความจริง และความเจ็บปวดที่เราเคย หรือได้รับแบบไม่เท่าเทียมกัน

และถ้าเป็นเรา เมื่อมีคนมาสะกิต หรือเตือนเรา ชี้จุดบกพร่องของเรา ก่อนอื่นเราจะนำกลับมาคิดก่อนว่า เราเป็นจริงไหม และเราพอจะมีเหตุผลอะไรประกอบบ้างไหม พอจะปรับอะไรได้ไหม

“ผมเอง เพราะความอวดเก่ง และอวดฉลาด จึงมักถูกต่อว่าเป็นประจำว่า รั้น หัวแข็ง หัวโบราณ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ดื้อ เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว และยังพอมีคำใดที่สามารถเปรียบเทียบได้อีกบ้างนะครับผม”

mr.how 2

แต่เชื่อผมเถอะ “ทุกอย่างก็ผ่านการกลั่นกรองมาจากสติปัญญาอันน้อยนิดของผม ที่มีปริญญาโทเป็นเครื่องการันตี การศึกษาเช่นกันนะจร้า”

คนเราต่างมีประสบการณ์ และพบเจอประสบการณ์ที่แตกต่างกัน และผมเองก็ได้รับบทเรียนราคาแพงเสมอๆ มาว่า “เอ็นดูเค้า เอ็นเราขาด” และที่สำคัญ “เราอย่าคิดไปตัดสินใจแทนคนอื่น เพราะสุดท้ายแล้วเราจะกลายเป็นหมาหัวเน่าแทนนะจร้า เมื่อเค้า หรือเธอ หันมาคุยและจูบปากกัน สุดท้าาย เราก็คือ สุนัขตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

ที่สำคัญ “เราอย่าไปคาดหวังว่า ทุกคนจะเป็นมิตร หรือดีกับเรา ไม่ใช่แค่เค้าพูด หรือยิ้มให้เรา ก็กลายเป็นกัลยาณมิตร หรือมิตรที่แสนดีกับเราแล้ว” โลกนี้อยู่ยาก แต่ถ้าเราทำตัวง่ายๆ เหมือนกับขนม เราก็อาจจะถูกกินได้ง่ายๆ เช่นกัน ไม่มีใครเห็นแก่ใคร ยกเว้น ทุกคนย่อมมีวัตถุประสงค์ และจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ก็เท่านั้น!

อย่างที่ผมเองเคย หรือได้เจอมา เหมือนกับวลีเด็ดที่ผมชอบเปรียบเทียบในช่วงก่อนว่า “เวลาแทงการพนัน แทงปากเปล่า ก็มักจะถูกจ่ายปากแตก” หรือว่า “เห็นเราเป็นแค่โนเกี๊ย หรือเด็กเล็กๆ บ่มิไก๊ ก็เท่านั้นเองนะจร้า” เฮ้อ เราก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 50 ปีแล้วเช่นกันนะจร้า ไม่น้อยเหมือนกันนะจร้า อิอิ อายุนะจร้า

จะว่าไปแล้ว สังคมแห่งการไม่เท่าเทียมนั้น มีให้เห็นในเกือบจะทุกๆ วงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการพีอาร์ และสื่อสารมวลชน อย่างเรา ที่ได้เคย หรือเคยพบเจอเลยเช่นกันนะจร้า

เขียนไว้เตือนความจำ ในวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2568 นะจร้า

“เราจะมีความจำเป็น และสำคัญ ในวันที่เค้าต้องการเรา และเราจะหมดความสำคัญ หรือความจำเป็น ในวันที่เค้าไม่ต้องการเรา หรือเค้ามีอะไร หรือได้อะไรที่ดีกว่าเราแล้ว มันเป็นสัจธรรมจริงๆ ที่เคยเจอมากับตัวเองจริงๆ ในช่วงที่ผ่านมา

“รู้จักเรา และต้องการเรา” ในวันที่อยากใช้เรา และทิ้งเรา ไม่ใยดีต่อเรา (ทางใครทางมัน หรือกลายเป็นคนไม่รู้จักกัน) ในวันที่ไม่ต้องการเราแล้วนะจร้า เฮ้อ!