บางจากฯ ช่วยเกษตรกรและ SME ดันผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลกผ่าน SPAR Supermarket
- รายละเอียด
- เขียนโดย BCCChannel.net
- เผยแพร่เมื่อ: วันจันทร์, 21 สิงหาคม 2560 18:05
บางจากฯ ช่วยเกษตรกรและ SME ดันผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลกผ่าน SPAR Supermarket
6 เดือนหลัง ปีนี้ บางจากฯ ขยายการลงทุนธุรกิจพลังงานสีเขียว ต่อยอดผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าวิสาหกิจชุมชนและ SME ผ่านร้าน SPAR Supermarket ในต่างประเทศ และมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่นบางจากสู่ระดับโลกควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อม จัดทำ Carbon Footprint และ Water Footprint รายแรกของไทย พร้อมขยายสถานีบริการน้ำมันในทำเลยุทธศาสตร์เพิ่มรายได้
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2560 ว่า บริษัท บางจากฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจด้านพลังงานสีเขียวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โดยตั้งเป้าหมายสิ้นปี 2560 มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) เติบโตร้อยละ 20 จากปีก่อน
ด้านธุรกิจโรงกลั่น มีแผนพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นน้ำมันบางจากอย่างต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่การเป็นโรงกลั่นน้ำมันระดับโลก โดยจะทำโครงการหน่วยเพิ่มออกเทนเพื่อผลิตน้ำมันแก๊สโซลีน ซึ่งอยู่ระหว่างคัดเลือกบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2563 และโครงการขยายกำลังการผลิต ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเลือกบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างได้กลางปีหน้า รวมทั้งโครงการปรับปรุงสเถียรภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย กำลังการผลิต และการดูแลสิ่งแวดล้อม
ส่วนธุรกิจการตลาด มีเป้าหมายขยายสถานีบริการ 80 สาขาในปีนี้ โดยจะเน้นทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถสร้างรายได้ และเพิ่มยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียม รวมทั้งจะขยายปั๊มชุมชนเพิ่มขึ้นอีก 15 แห่ง รวมเป็น 625 แห่งภายในสิ้นปี 2560 เพื่อเป็นการสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับกลุ่มเกษตรกรซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายขยายร้าน SPAR Supermarket เพิ่มอีก 34 สาขาภายในปี 2560 และจะขยายให้ได้ครบ 400 สาขาในปี 2564 สำหรับร้านกาแฟอินทนิล จะขยายเพิ่ม 120 สาขาในปี 2560 และตั้งเป้าให้ได้ครบ 900 สาขาในปี 2564
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัท บางจากฯ มีแผนส่งออกผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ่านร้าน SPAR Inter ไปยังประเทศออสเตรเลียและจีนในเดือนตุลาคมนี้ โดยส่งออกข้าวสารหอมมะลิ ข้าวสารขาว จากกลุ่มเกษตรกร จังหวัดนครราชสีมา ผลไม้อบแห้ง มะม่วงกระป๋องในน้ำเชื่อมจากจังหวัดสมุทรสาคร ไปยังประเทศออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จะส่งไปจัดจำหน่ายที่ประเทศจีน มีมะม่วง มะละกอ สับปะรดอบแห้ง จากจังหวัดสมุทรสาคร และกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มจากธรรมชาติ เช่น น้ำมะพร้าวน้ำหอมออร์แกนิค 100% และน้ำมะนาวที่รับซื้อจากเกษตรกรใน 3 จังหวัด คือ กาญจนบุรี ราชบุรี และนครปฐม
นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพและตลาดมีความต้องการในขณะนี้ คือ ผลไม้อบแห้ง ผลไม้แปรรูป นมอัดเม็ด คุกกี้ ข้าว และขนมขบเคี้ยวอื่นๆ ในเบื้องต้น จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3 รายการ คือ ชมพู่แก้วแปรรูป โดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรี จังหวัดจันทบุรี ลูกอมสัปปะรดกะทิสด โดยกลุ่มแม่บ้านหนองกาพัฒนา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และกล้วยอบเนยของกลุ่มสตรีสหกรณ์บ้านหนองตูม จังหวัดสุโขทัย ภายใต้แนวคิด “สพาร์ ร่วมพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน”
นอกจากนี้ บริษัท บางจากฯ ยังให้ความสำคัญในด้านการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ด้วยมีเป้าหมายเป็นบริษัทที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ (low carbon society) และมีการจัดทำแผนดำเนินงานอย่างชัดเจนในเรื่อง Carbon Footprint และ Water Footprint ในปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันบางจาก มีการประเมินและจัดทำรายงานการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากกระบวนผลิตน้ำมันอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมรับผิดชอบไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2c ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อน โดยในปีนี้ บริษัท บางจากฯ มุ่งมั่นเป็นองค์กรต้นแบบที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม ให้เป็นที่ยอมรับในระดับอาเซียน และตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมของบริษัท บางจากฯ และบริษัทในเครือให้ได้ 0.55 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า แต่อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ สามารถลดได้ถึง 0.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
สำหรับการจัดทำรอยเท้าน้ำ (Water Footprint) บริษัท บางจากฯ ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ใช้น้ำอย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยยึดหลักการ 3Rs: การลดการใช้ (Reduce) การนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และการปรับปรุงคุณภาพแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เพื่อการปรับปรุงอย่างยั่งยืน และโรงกลั่นน้ำมันบางจาก จะเป็นโรงกลั่นแห่งแรกที่นำหลักการบริหารจัดการน้ำด้วย Water Footprint มาประยุกต์ใช้ เพื่อจะเป็นต้นแบบให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อไปได้ในอนาคต
สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ได้มีการควบรวมกิจการด้านธุรกิจชีวภาพกับบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) (KSL) โดยบริษัท บางจากฯ ถือหุ้นร้อยละ 60 เพื่อก้าวสู่บริษัทชีวภาพอันดับหนึ่งของประเทศ พร้อมต่อยอดไปยังธุรกิจผลิตภัณฑ์ยา เครื่องสำอาง อาหาร และ Bio Specialty ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษทางภาคตะวันออก (EEC) ที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ และมีแผนจะนำบริษัทธุรกิจชีวภาพเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อนึ่ง ผลการดำเนินงานบริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย ในช่วงครึ่งปีแรก 2560 มีรายได้จากการขายและให้บริการ 86,823 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 3,344 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 3,076 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.23 บาท
เฉพาะผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2560 บริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 42,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ 1,145 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 993 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 52 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.72 บาท มี EBITDA รวม 2,514 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า