ธนาสิริ เดินหน้าปักธงเป็นเจ้าตลาดในนนทบุรี จัดทัพแบรนด์ใหม่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมลุยเปิดใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 1,415 ลบ. ตั้งเป้ายอดขายที่ 1,100 ลบ. หรือ โต 20%
- รายละเอียด
- เขียนโดย BCCChannel.net
- เผยแพร่เมื่อ: วันอังคาร, 09 กุมภาพันธ์ 2559 17:26
ธนาสิริ เดินหน้าปักธงเป็นเจ้าตลาดในนนทบุรี จัดทัพแบรนด์ใหม่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย
พร้อมลุยเปิดใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 1,415 ลบ.
ตั้งเป้ายอดขายที่ 1,100 ลบ. หรือ โต 20%
ธนาสิริ กรุ๊ป หรือ THANA หุ้นจิ๋วแต่แจ๋วในตลาดเอ็มเอไอ จัดทัพแบรนด์ให้ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้ 5 แบรนด์ใหม่ ปักธงลุยเปิดอีก 2 โครงการต่อเนื่องในจังหวัดนนทบุรี เหตุบูมจากโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐ พร้อมรับเออีซีร่วมทุนกลุ่มอีสานพิมานกรุ๊ป จับมือลุยตลาดภาคอีสานเปิดใหม่อีกหนึ่งโครงการที่อุดรธานี รวม 3 โครงการมูลค่ากว่า 1,415 ล้านบาท เพื่อรองรับเป้าหมายการเติบโตอีกกว่า 20%
นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายใต้ชื่อ THANA เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรรพร้อมที่ดินเพื่อขาย ประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว โดยบริษัทจะเป็นผู้พัฒนาโครงการ และเป็นเจ้าของโครงการ เน้นการพัฒนา โครงการในเขตปริมณฑล โดยเน้นทำเลย่านจังหวัดนนทบุรี เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการไปแล้วทั้งสิ้น 22 โครงการ จำนวน 2,241 ยูนิต มูลค่า 7,902 ล้านบาท คิดเป็นราคาขายเฉลี่ยที่ 3.58 ล้านบาท/ยูนิต โดยมีโครงการที่ปิดการขายไปแล้ว 14 โครงการ จำนวน 1,177 ยูนิต มูลค่า 3,808 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยที่ 3.24 ล้านบาท เป็นโครงการที่จังหวัดนนทบุรีจำนวน 9 โครงการ และที่จังหวัดภูเก็ตอีก 5 โครงการ
สำหรับผลประกอบการในรอบ 9 เดือนของบริษัทในปี 2558 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 654 ล้านบาท โดยคาดว่าประมาณการอัตราการเติบโตของทั้งปี 2558 อยู่ที่ร้อยละ 30-35 โดยประมาณ และประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 31.9 โดยได้มาจากโครงการในปัจจุบันที่บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการในปัจจุบันจำนวนทั้งสิ้น 8 โครงการ โดยเป็นโครงการที่นนทบุรี 7 โครงการ ได้แก่ ธนาสิริ ราชพฤกษ์-ท่าน้ำนนท์, เดอะคลัสเตอร์ วิลล์ 4 ราชพฤกษ์ – สิรินธร, ไพร์มเพลส เดอะกรีนเนอรี่-บางใหญ่, ธนาวิลเลจ พระราม 5 – บางใหญ่, ธนาวิลเลจ 2 พระราม 5 – บางใหญ่, ธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์ และ ธนาฮาบิแทต ราชพฤกษ์-สิรินธร จำนวน 1,030 ยูนิต มูลค่า 4,021 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 3.9 ล้านบาท และโครงการที่สกลนคร 1 โครงการ คือ สิริวิลเลจ สกลนคร – แอร์พอร์ต จำนวน 34 ยูนิต มูลค่า 73 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 2.14 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 4,094 ล้านบาท
“บริษัทมีนโยบายหลักในการให้ความสำคัญเกี่ยวกับทำเลที่ตั้งโครงการเป็นอย่างมาก โดยศึกษาจากแนวโน้มการขยายตัวของเส้นทางคมนาคมอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นสำคัญ ซึ่งบริษัทมุ่งเน้นที่จะพัฒนาเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่ในเขตทำเลที่ดี อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก ที่สำคัญไม่ห่างไกลจากย่านชุมชน ที่ตั้งของโครงการส่วนใหญ่มีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกสบาย และมีแผนขยายเครือข่ายคมนาคมอนาคต โดยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทจะยังคงเน้นทำเลย่านจังหวัดนนทบุรีเป็นหลักต่อไป โดยเรามองว่า โครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐ ถือเป็นปัจจัยบวกที่จะส่งต่อการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนนทบุรี โดยมีโครงการหลักๆ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่ – บางซื่อ ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเดือน ส.ค. 2559 (เปิดทดลองใช้ พ.ค. 2559), ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 (สายบางใหญ่-กาญจนบุรี) บางใหญ่ – บ้านโป่ง – กาญจนบุรี กำลังทบทวนรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะผ่านการพิจารณา กลางปี 59 และจะประกวดราคา ลงนามสัญญาก่อสร้างปลายปี 59, โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ทางพิเศษยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร เริ่มต้นจากถนนกาญจนาภิเษก และปลายทางที่ชุมทางรถไฟบางซื่อใกล้สถานีขนส่งหมอชิต 2 ระยะทาง 16.7 กม. มีทางขึ้นลง 6 จุด ก่อสร้างแล้วเสร็จ 85% คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการทางพิเศษสายนี้ได้ในปี 2559 และโครงการถนนเชื่อมต่อ ถนนราชพฤกษ์ – ถนนกาญจนาภิเษก แนวเหนือ-ใต้ ถนนราชพฤกษ์ ถนนชัยพฤกษ์ สะพานพระรามสี่ เชื่อมต่อเส้นทางเข้ากับทางหลวงหมายเลข 345 และ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยมีแผนเริ่มก่อสร้างเดือนพ.ค. 59 สร้างเสร็จปี 61
ในส่วนของแผนการดำเนินงานในปี 2559 บริษัทจึงจะยังคงเน้นการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเป็นหลักเนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ มีแผนงานการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อย่างต่อเนื่องจากภาครัฐทั้งระบบการขนส่งมวลชนเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชน โดยมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 3 โครงการโดยเป็น 2 โครงการใหม่ที่นนทบุรี ได้แก่ ธนาคลัสเตอร์ ราชพฤกษ์ – สถานีบางพลู ทาวน์โฮม 3 ชั้น จำนวน 77 ยูนิต บนเนื้อที่ 8 ไร่ ราคาขายเฉลี่ย 4.3 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 334 ล้านบาท กำหนดเปิดการขายไตรมาสแรกของปีนี้ ธนาคลัสเตอร์ สถานีเซ็นทรัล – บางใหญ่ ทาวน์โฮม 3 ชั้น และบ้านแฝด 3 ชั้น จำนวน 77 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 4.9 ล้านบาทต่อยูนิต บนเนื้อที่ 10 ไร่ กำหนดเปิดการขายไตรมาสที่สามของปีนี้ มูลค่าโครงการ 375 ล้านบาท และอีก 1 โครงการใหม่ที่จังหวัดอุดรธานี ได้แก่ โครงการสิริวิลเลจ อุดรธานี – แอร์พอร์ต บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 179 ยูนิต บนเนื้อที่ 39 ไร่ ราคาขายเฉลี่ย 3.9 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 706 ล้านบาท กำหนดเปิดการขายไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งโครงการนี้พัฒนาโดยบริษัท พิมานสิริ จำกัด (เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ธนาสิริ พร๊อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กับ กลุ่มบริษัท อีสานพิมานกรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท โดยจัดตั้งเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2557 ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยจะเป็นผู้พัฒนาโครงการและเป็นเจ้าของโครงการในภาคอีสาน เริ่มต้นที่ จ.อุดรธานี) มูลค่าของโครงการที่จะเปิดใหม่ 3 โครงการรวม 1,415 ล้านบาท พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีที่ดินที่รอการพัฒนาอีก 4 แปลง อาทิ ในตำบลบางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี บนเนื้อที่ 26 ไร่ และที่ดินที่หาดกมลา จังหวัดภูเก็ตอีก 105 ไร่
กรรรมการผู้จัดการ เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจว่า บริษัทได้มีการปรับรูปแบบธุรกิจให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน และสามารถวัดผลได้ เพื่อกำหนดทิศทางในการทำงานให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคน โดยการวางแผนการทำงาน มีแนวคิด 3 แนวทางหลัก คือ ให้ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ มีการตอบสนองต่อลูกค้าอย่างรวดเร็ว และสามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมายทางการเงินที่ได้กำหนดไว้ โดยได้กำหนดแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกันทั้ง 4 ส่วนหลักๆ คือ ประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ โดยกำหนดกรอบระยะเวลานับจากวันที่ลูกค้าจอง จนถึงวันโอนกรรมสิทธิ์เป็นจำนวน 45 วัน มีการกำหนดกรอบเวลาของงานก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จโดยเฉลี่ย 5 เดือน โดยกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโครงการ โดยสร้างบ้านให้แล้วเสร็จพร้อมขายภายใน 6 เดือน นับจากวันที่บริษัทโอนกรรมสิทธิ์ซื้อที่ดิน ทำสินค้าให้น่าสนใจ โดยลักษณะโครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปประมาณ 15-20 ไร่โดยเฉลี่ย จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ให้มีความเหมาะสม การออกแบบดีไซน์ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ทั้งในโครงการ รูปแบบบ้าน และภายในตัวบ้านให้โดดเด่น และเป็นจุดแข็งของบริษัท สร้างงบประมาณของสินค้าให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน มีการกำหนดโครงสร้างราคาขายให้เป็นที่น่าสนใจ สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า การพัฒนาโครงการโดยคำนึงถึงโครงสร้างของต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อให้ได้กำไรตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ สอดคล้องกับราคาที่ลูกค้าอยากซื้อ การออกแบบโครงการใหม่ บริษัทคำนึงถึงค่าใช้จ่ายโครงการในระยะยาวที่จะเกิดขึ้น และการพัฒนาสินค้าในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างแบรนด์ใหม่นับตั้งแต่ปี 2557 ที่ผ่านมา เพื่อให้มีความชัดเจน สร้างการจดจำในตราสินค้าของกลุ่มบริษัทผ่านชื่อ "ธนา" (THANA) (เป็นชื่อย่อของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย) โดยใช้ "ธนา" เป็นชื่อนำหน้าโครงการต่างๆ ทุกโครงการ ตามด้วยชื่อลักษณะหรือรูปแบบโครงการที่แตกต่างออกไป ตามรูปแบบโครงการ ผลิตภัณฑ์ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยภาพแบรนด์หลัก (Corporate Brand) บริษัทมีการปรับโลโก้บริษัทใหม่ ภายใต้แนวความคิด "ความสุขที่ดีพอ ในพื้นที่ที่พอดี" (Small is Beautiful) คือแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นความสำคัญของการสร้างความอบอุ่น และความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของครอบครัวสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ด้วยขนาดโครงการพอดี จึงเน้นการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานจริง ซึ่งนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้านอย่างแท้จริง ส่วนแบรนด์ย่อยภายใต้การปรับโครงสร้างแบรนด์ใหม่ แบ่งออกเป็น 5 แบรนด์ สำหรับแบ่งแยกตัวสินค้าให้ชัดเจน เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ได้แก่
1. แบรนด์ "ธนาเรสซิเดนท์" (Thana Residence) เป็นแบรนด์สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวที่ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีรายได้ค่อนข้างสูงระดับ B+, A มีรายได้ต่อเดือนที่ 120,000-150,000 บาท เป็นโครงการในอนาคต
2. แบรนด์ "ธนาฮาบิแทต (Thana Habitat) เป็นแบรนด์สำหรับโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เริ่มต้นครอบครัว ต้องการที่อยู่อาศัยไม่ไกลจากเมือง B, B+ มีรายได้ต่อเดือนที่ 90,000-120,000 บาท โดยโครงการที่เปิดขายแล้ว คือ โครงการธนาฮาบิแทต ราชพฤกษ์-สิรินธร
3. แบรนด์ "ธนาคลัสเตอร์" (Than Cluster) ลักษณะโครงการ ทาวน์โฮม หรือ อาคารพาณิชย์ ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการบ้านในทำเลใกล้เมืองที่มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอ ระดับรายได้ B, B+ หรือมีรายได้ต่อเดือนที่ 90,000-120,000 บาท มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ในปี 2559
4. แบรนด์ "ธนาวิลเลจ" (Thana Village) เป็นแบรนด์สำหรับโครงการบ้านเดี่ยว ที่ระดับราคา ไม่เกิน 5 ล้านบาท เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านเดี่ยวหลังแรกท่ามกลางธรรมชาติที่สดชื่น C+, B+ มีรายได้ต่อเดือนที่ 60,000-100,000 บาท โดยโครงการที่เปิดขายแล้ว คือ โครงการ ธนาวิลเลจ 1 พระราม 5-บางใหญ่ และ ธนาวิลเลจ 2 พระราม 5-บางใหญ่
5. แบรนด์ "ธนาซิโอ" (Thana Sio) เป็นแบรนด์ทาวน์โฮม หรือ อาคารพาณิชย์ ที่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการทาวน์โฮม ใกล้รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ระดับ C, C+ มีรายได้ต่อเดือนที่ 40,000-60,000 บาท โดยโครงการที่เปิดขายแล้ว คือ โครงการธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์
“เราในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์สังคมความพอดีภายใต้หลักปรัชญาที่ว่า “Small is Beautiful ความสุขเริ่มต้นที่ความพอดี” เล็งเห็นถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาความเกินพอดีในสังคม จึงเกิดเป็นแคมเปญรณรงค์ “ความสุข” เริ่มต้นที่ “ความพอดี” ขึ้น โดยได้น้อมนำหลัก "ความพอดี” หนึ่งในปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำริ ชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทย ไปใช้เป็นหลักการดำรงตน ประพฤติปฏิบัติ ที่เราได้พยายามสะท้อนให้สังคมตระหนักโดยการนำเสนอผ่านหนังสั้นในวันสำคัญ เช่น วันแม่ และวันพ่อแห่งชาติ ในช่วงปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้พบเห็นเป็นอย่างดี ซึ่งเราจะได้มีการรณรงค์ให้สังคมได้ตระหนัก และร่วมกันสร้างสังคมใหม่ “สังคมแห่งความพอดี” ต่อไป ในส่วนของเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของบริษัทใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มีความแตกต่างในระดับราคาที่สามารถแข่งขันได้บนทำเลยที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายของบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ส่วนใหญ่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงในส่วนภูมิภาคที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยการพัฒนาโครงการจะเลือกพัฒนาในทำเลที่เหมาะสม และมีศักยภาพตามแนวสาธารณูปโภคที่ดี ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และมีโครงสร้างการลงทุนที่เหมาะสม” กรรมการผู้จัดการกล่าวในที่สุด