มาสด้าโต 15% สูงสุดในตลาด ขายกว่า 4 หมื่นคัน ปีนี้เตรียมส่งอีก 7 รุ่นลุยตลาด ตั้งเป้าเพิ่มอีก 10%
- รายละเอียด
- เขียนโดย BCCChannel.net
- เผยแพร่เมื่อ: วันอังคาร, 19 มกราคม 2559 22:45
มาสด้าโต 15% สูงสุดในตลาด ขายกว่า 4 หมื่นคัน
ปีนี้เตรียมส่งอีก 7 รุ่นลุยตลาด ตั้งเป้าเพิ่มอีก 10%
- ปี 2558 ทำเซอร์ไพรส์กระโดดขึ้นครองอันดับ 3 ของตลาดรถเก๋ง
- ปี 2559 วางเป้าแชร์ 16% ครองตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวี
บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด เผยถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในปี 2558 ที่ผ่านมา จากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มากที่สุดถึง 5 รุ่น พร้อมกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า ต่างยกย่องให้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟคือที่สุดของยานยนต์ในยุคนี้ ส่งผลให้ยอดขายทะลุกว่า 40,000 คัน เติบโตสูงสุดในตลาดถึง 15% ในขณะที่ปีนี้มาสด้ายังคงเดินหน้าสร้างความสำเร็จด้านยอดขาย เตรียมพร้อมการเป็นพรีเมียมแบรนด์ และถือเป็นการร่วมพัฒนายานยนต์ให้ก้าวไปอีกขั้นให้พร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ โดยเตรียมเปิดตัวเข้าสู่ตลาดมากถึง 7 รุ่น พร้อมงัดกลยุทธ์การตลาดมาใช้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งปี คาดว่าการแข่งขันของตลาดรถยนต์ในปีนี้จะดุเดือดมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตัวเองให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งแคมเปญส่งเสริมการขาย ไปจนถึงการปรับราคาตามโครงสร้างภาษีใหม่ ถือเป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของทุกแบรนด์อย่างแท้จริง
นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับตลาดรถยนต์ไทยในปี 2559 นั้น ในช่วงไตรมาสแรกยังคงได้รับอิทธิพลจากภาวะเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่กำลังฟื้นตัว โดยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลัง และจะเห็นแววความสดใสชัดเจนขึ้นในตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่สอง โดยจะเป็นการเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ เนื่องจากปีที่ผ่านมาแม้ว่ากำลังซื้อจะมีน้อยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากยอดขายของปีที่ผ่านมา มาสด้ายังสามารถเดินหน้าได้ตามแผนงานอย่างมั่นคง อย่างไรก็ตามมาสด้ายังคงเชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้จะมียอดขายทะลุถึง 8 แสนคัน อันเนื่องมาจากกำลังซื้อยังมีอยู่อีกมาก โดยเฉพาะรถยนต์นั่งและรถอเนกประสงค์เอสยูวี ซึ่งมาสด้าได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วจากยอดการขายรถเก๋งที่สามารถก้าวขึ้นมาครองอันดับ 3 ของตลาด ในขณะที่ปีนี้มาสด้ามองว่าเซ็กเม้นของรถอเนกประสงค์เอสยูวีจะเป็นอีกรุ่นที่สอดแทรกเข้ามา โดยเฉพาะมาสด้ามั่นใจว่าจะสามารถครองก้าวขึ้นเป็นผู้นำในเซ็กเม้นต์นี้
ตลาดรถยนต์และสภาวะเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีความต้องการรถยนต์ที่สามารถตอบโจทย์กับการใช้งานอย่างครบครัน มีการค้นหาเปรียบเทียบข้อมูล ไตร่ตรองมากขึ้น และไม่บริโภคสินค้าตามเทรนด์กระแสของตลาด ทำให้มาสด้าเพิ่มช่องทางการสื่อสารให้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการสื่อสารในรูปแบบดิจิตอลที่สามารถเจาะถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายจนกลายเป็นเครื่องสำคัญ และเข้ามามีบทบาทในการสื่อสารมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากยอดขายรวมของตลาด พบว่ารถยนต์ที่มีราคาตั้งแต่ 5 แสนบาทขึ้นไปจนถึงราคาที่สูงระดับ 1 ล้านบาท มียอดจองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันมีรถยนต์อีโคคาร์เข้ามาทำตลาดหลากหลายค่าย เสนอขายในราคาสบายกระเป๋า เพื่อรับกับสถานการณ์รัดเข็มขัด แต่กลับต้องอัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างหนักเพื่อจูงใจผู้บริโภค ทำให้เกิดภาพที่ชัดเจนว่าปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจซื้อไม่ใช่เพียงสินค้าราคาถูก หรือแคมเปญส่งเสริมการขายเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการซื้อขายในยุคปัจจุบัน คือ สินค้าที่สามารถตอบสนองได้ครบทุกความต้องการที่มาพร้อมกับราคาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่มาสด้าใช้ในการสร้างยอดในปี 2558 ที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย
สำหรับปี 2558 ที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของมาสด้า จากยอดจำหน่ายรถยนต์รวมจำนวนทั้งสิ้น 797,000 คันโดยประมาณ เป็นยอดขายรถยนต์มาสด้าที่ทะลุเป้าถึง 39,471 คัน ซึ่งมาสด้าเป็นค่ายเดียวที่ยอดขายพุ่งขึ้นได้สูงสุดถึง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2557 ที่ผ่านมา ที่มียอดขายอยู่ที่ 34,326 คัน และสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ตามเป้าหมาย คือ 5% โดยยอดขายในแต่ละรุ่นประจำปี 2558 มีดังนี้
üAll New Mazda2 จำนวน 19,091 คัน เพิ่มขึ้น 181% ส่วนแบ่งการตลาด 8.9%
üNew Mazda BT-50 PRO จำนวน 8,054 คัน ลดลง 38% ส่วนแบ่งการตลาด 2.5%
üAll New Mazda3 จำนวน 7,143 คัน ลดลง 20% ส่วนแบ่งการตลาด 17.3%
üAll New Mazda CX-5 จำนวน 3,832 คัน ลดลง 32% ส่วนแบ่งการตลาด 3.1%
üAll New Mazda CX-3 จำนวน 1,321 คัน na ส่วนแบ่งการตลาด 1.1%
üMazda MX-5 จำนวน 28 คัน na
üMazda CX-9 จำนวน 2 คัน na
อีกหนึ่งที่มาของความความสำเร็จของมาสด้าในปี 2558 กับการเปิดตัวแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดประเทศไทยมากถึง 5 รุ่น มาสด้าก้าวข้ามทุกขีดจำกัดของการขับขี่ ทำให้เกิดเป็นความแปลกใหม่และแตกต่าง ซึ่งได้รับกระแสการตอบรับที่ดีอย่างคาดไม่ถึง สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของรถยนต์แต่ละเซ็กเม้นต์ได้อย่างแท้จริง ซึ่งรถยนต์ที่ได้เปิดตัวในปี 2558 ที่ผ่านมา ประกอบไปด้วย
- All New Mazda2 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1500 ซีซี และสกายแอคทีฟเบนซิน 1300 ซีซี ซึ่งมีให้เลือกทั้งรุ่นแฮตช์แบค และรุ่นซีดาน และมีการเพิ่มรุ่นเข้ามาโดยการเพิ่มไฟหน้า LED และกล้องมองหลัง รวมทั้งการเพิ่ม Daytime Running Light ส่งผลให้มาสด้า2 กลายเป็นรถยนต์ที่ให้ความคุ้มค่า คุ้มราคา แถมอัตราการประหยัดน้ำมันดีที่สุดถึง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน กลายเป็นรถยนต์นั่งสปอร์ตพรีเมียมขนาดซับคอมแพ็คหนึ่งเดียวในคลาส สร้างภาพลักษณ์ให้มีความชัดเจน พร้อมแนะนำแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของรถมาสด้า2 สกายแอคทีฟ นั่นคือ น้องนาย ณภัทร เสียงสมบุญ นายแบบ นักแสดงคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถรอบตัว
- NewMazda BT-50 PRO นับเป็นการปรับโฉมครั้งสำคัญที่เพิ่มความสปอร์ตให้แกร่งมากขึ้นอีกระดับภายใต้คอนเซ็ปต์ Tough as Life ที่มาพร้อมเครื่องดีเซล คอมมอนเรล อันทรงพลัง สร้างความคึกคักให้กับตลาดรถปิกอัพ และบรรลุยอดขายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 700 คัน
- All New Mazda CX-3 อีกหนึ่งน้องใหม่ ฟรีสไตล์ครอสโอเวอร์อเนกประสงค์ สร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ให้กับคนไทย เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น ที่ต้องการความแปลกใหม่ จัดเต็มทั้ง โคโดะ ดีไซน์ และเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ใส่ระบบความปลอดภัย i-ACTIVSENSE มีมาให้เลือกทั้งเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลขนาด 1500 ซีซี และสกายแอคทีฟเบนซินขนาด 2000 ซีซี ซึ่งได้สร้างสีสันให้กับตลาดนี้เป็นอย่างมาก สามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
- All New Mazda MX-5 ที่เป็นรถสปอร์ตระดับไอคอนที่เอาใจผู้ที่หลงใหลความสปอร์ตของมาสด้า การกลับมาคราวนี้พร้อมรูปลักษณ์ใหม่หมดทั้งคัน หวังปลุกชีพคนรักความสปอร์ตให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง สมรรถนะขั้นเทพที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่การตอบสนองได้ทันใจ ให้ความแม่นยำในการควบคุมในแบบ จินบะ-อิตไต และเสน่ห์ของรถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่มีบทพิสูจน์จากการตอบรับของผู้ใช้ทั่วโลกกับการเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลกจากการบันทึกของกินเนสบุ๊คเวิร์ลออฟเรคคอร์ด
ในส่วนของสายการผลิตนั้น ในปีที่ผ่านมา มาสด้าสามารถผลิตได้ตามเป้าทั้งการขยายสายการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งขายทั้งภายในไทยและต่างประเทศ มีการเริ่มเปิดสายการผลิตทั้งเครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัติ ณ โรงงานแห่งใหม่ มาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ได้อย่างราบรื่น ตอกย้ำความมุ่งมั่นของมาสด้าที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิต และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของมาสด้าทั่วโลก นอกเหนือจากที่เมืองฮิโรชิมา และเมืองโฮฟุ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับมีการลงทุนในประเทศจีน และเม็กซิโก เพื่อขยายธุรกิจ และตอบรับกับยอดขายที่มาสด้าที่คาดว่าจะโตขึ้น 10% จากปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 44,000 คัน และตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 5.5% ซึ่งจะเป็นเป้าที่สูงที่สุดที่เคยมีมา สำหรับยอดรวมของตลาดรถยนต์ของไทยในปีนี้คาดว่าจะจบที่ 800,000 คัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่ทำให้มาสด้าประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่และมียอดจำหน่ายทะลุเป้าในปีที่ผ่านมานั้น เกิดจากความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์มาสด้า ซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างมุ่งมั่น และแข็งแกร่ง ประกอบกับความเป็นแบรนด์พรีเมียมที่ลูกค้าสัมผัสและรับรู้ได้ในทุกองค์ประกอบของมาสด้า ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้ในทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์สวยงามภายใต้ โคโดะ ดีไซน์ บ่งบอกถึงความมีรสนิยมของผู้ขับขี่ เครื่องยนต์พลังแรงให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกเร้าใจ เชื่อมต่อออนไลน์ด้วยระบบ MZD Connect ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงป้องกันการเกิดเหตุกับระบบ i-ACTIVSENE และประหยัดน้ำมันล้ำที่สุดกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ที่ให้ได้ทั้งความแรงและสามารถประหยัดน้ำมันในรถยนต์คันเดียวกัน การนำเสนอราคาที่เหมาะสม คุ้มค่า นอกจากนี้ยังรวมถึงการยกระดับคุณภาพของโชว์รูมและศูนย์บริการ การพัฒนาศักยภาพของพนักงานในทุกๆ หน่วยที่ได้มาตรฐานการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย
อีกหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ คือ จากนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่เริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมาซึ่งคิดตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แทนการคิดตามความจุกระบอกสูบ ส่งผลให้ราคารถยนต์ของมาสด้าในปี 2559 มีการปรับทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง หรือบางรุ่นมาสด้ายืดอกรับภาระบางส่วนแทนลูกค้า พร้อมมอบความคุ้มค่าให้ลูกค้าเพิ่มเติมด้วยการเพิ่มอุปกรณ์เสริม โดยมีราคาของแต่ละรุ่น ดังนี้
- All New Mazda2 : ได้ประกาศปรับราคาใหม่ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา โดยปรับลดลง 21,000 บาท หลังจากที่รถยนต์รุ่นนี้เข้าร่วมโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลระยะที่ 2 หรือ โครงการอีโคคาร์ เฟส 2 ที่มีข้อกำหนดทั้งเรื่องสมรรถนะด้านสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านความปลอดภัย จากเดิมที่มีอัตราภาษีที่ 17% ลดลงเหลือ 14% เนื่องจากมีอัตราการปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ส่งผลให้ราคาขายรถยนต์รุ่นนี้โดยรวมปรับลดลงทุกรุ่น
- New Mazda BT-50 PRO : แม้ว่าอัตราภาษีใหม่ของรถปิกอัพจะมีการปรับขึ้นในบางรุ่นรูปแบบตัวถัง พร้อมกับการนำเอาเกณฑ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้เพื่อกำหนดอัตราภาษีใหม่ มาสด้ายังคงยืนยันที่จะจำหน่ายในราคาเดิมโดยไม่มีการปรับขึ้นหรือปรับลงแต่อย่างใดในทุกรุ่น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถปิกอัพได้ง่ายขึ้น
- All New Mazda CX-5 : ในขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาใหม่ โดยการประกาศราคาใหม่จะมาพร้อมกับการเปิดตัวรุ่นใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้
- All New Mazda CX-3 : มาสด้ายืนยันจำหน่ายในราคาเดิมตั้งแต่ในช่วงการเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา พร้อมรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท E85 และผ่านเกณฑ์การปล่อยไอเสียตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ช่วยให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของรถฟรีสไตล์ครอสโอเวอร์ที่โฉบเฉี่ยวในราคาที่จับต้องได้
- All New Mazda3 : มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น โดยปรับเพิ่มเพียง 5,000 และ 14,000 บาท แต่ทางมาสด้าได้เพิ่มความคุ้มค่าด้วยอุปกรณ์มาตรฐาน ที่ไม่เพียงสามารถช่วยเพิ่มอัตราการประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกเหนือไปจากการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท E85 อีกด้วย ประกอบด้วย เพิ่มระบบประหยัดน้ำมัน i-Stop เพิ่มกล้องมองหลัง (Rear View Camera) ระบบกุญแจอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry) ตั้งแต่ในรุ่น 2.0C เป็นต้นไป และเปลี่ยนสีเบาะนั่งและแผงประตูในรุ่น 2.0SP จากสีครีม-ดำ เป็นสีดำ เพิ่มอารมณ์สปอร์ต
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า สำหรับในปีนี้ มาสด้าเตรียมเปิดตัวและเผยโฉมใหม่มากถึง 7 รุ่น เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการให้มากยิ่งขึ้น หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับการเจาะกลุ่มลูกค้าสำหรับรถยนต์นั่งในทุกรุ่นในปีที่ผ่านมา ในปีนี้มาสด้าได้วางแผนกลยุทธ์ในการเพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยจะพุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่น มีประสบการณ์ที่ดี มุ่งเน้นการเอาใจใส่ดูแล สร้างความพึงพอใจ เพื่อให้เกิดความจงรักภักดี และก่อให้เกิดเป็นภาวะลูกค้าเก่าเป็นผู้สร้างลูกค้าใหม่ในที่สุด ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากความประทับใจที่เกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากนี้ การสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความโดดเด่น แตกต่าง สร้างจุดแข็งให้กับสินค้าทุกรุ่นให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้รถก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยมุ่งสื่อสาร 4 Key Pillars อันเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า ประกอบไปด้วย เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ, โคโดะ ดีไซน์, MZD Connect และ i-ACTIVSENSE และการสร้าง Brand Loyalty ด้วยการนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ
ในส่วนของงานบริการหลังการขายนั้น มาสด้าได้เปิดโครงการศูนย์กลางอะไหล่ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน พร้อมพัฒนาบริการหลังการขายที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ มีมาตรฐานที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากเรา มาสด้าจะไม่ใช่เพียงแค่แบรนด์ที่ลูกค้าเลือก แต่จะแบรนด์ที่ลูกค้ารัก และแนะนำให้กับคนที่ลูกค้ารักต่อไปอีกด้วย และจะขยายใหญ่จนกลายเป็น ”สังคมคนรักมาสด้า” ขนาดใหญ่
สำหรับแผนเพิ่มยอดขายในปีนี้นั้น จากการสังเกตในปีที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ จึงมีการปรับกลยุทธ์ให้มีความชัดเจน และเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าของแต่ละพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของกระบวนการทำงาน ในด้านของผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าซึ่งเป็นเสมือนประตูใหญ่ของแบรนด์ทั่วประเทศ มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการอย่างเต็มรูปแบบ ให้สามารถเดินหน้าธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างยอดขาย และให้ทุกโชว์รูมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแบรนด์มาสด้าให้แข็งแกร่ง ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมสมบูรณ์แบบ และเติบโตไปด้วยกันในอนาคต และเตรียมวางนโยบายการการบริหารของผู้จำหน่าย เพื่อสร้างมาตรฐานและควบคุมคุณภาพให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากลทั่วประเทศ เตรียมพบกับรูปแบบภาพลักษณ์โชว์รูมใหม่ ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความทันสมัย และการเป็นพรีเมียมแบรนด์ ตอบรับกับการที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มตัว
ความสำเร็จที่กล่าวมาข้างต้น มาสด้าจะไม่ลืมที่จะตอบแทนสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม โดยจะเน้นการทำกิจกรรมเพื่อสังคมให้มากยิ่งขึ้น โดยจะมุ่งเน้นให้ให้ความรู้ ถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในด้านการใช้รถยนต์ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมการจราจรของประเทศไทย
ทั้งหมดที่ผู้บริหารมาสด้าได้กล่าวมาในวันนี้ คือ ยุทธศาสตร์เพื่อการขับเคลื่อนครั้งสำคัญของมาสด้าที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป เพื่อต่อยอดความสำเร็จ และมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจตลอดไป